ปฐมบท : การก่อเกิดกองทุนหมู่บ้านในประเทศไทย

แชร์กองทุนให้โลกรับรู้

นาย สุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกฯ ผู้ก่อตั้งกองทุนหมู่บ้านในประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดปรัชญาต้นกำเนิดกองทุนหมู่บ้านว่า

“ส่วนสำคัญที่มาของโครงการนี้จริงๆเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเงินผันกับการที่ได้ลงไปทำงานกับกลุ่มแม่บ้านที่อำเภอน้ำพองแล้วได้เห็นว่าเขาทำงานจริงจัง อยู่ด้วยความรักความสามัคคีกันเหนียวแน่นแต่ว่าปัญหาที่เขามีในขณะนั้นคือ คือปัญหาเรื่องการขาดแคลนเงินทุน เงินทุนเป็นเรื่องของกิจกรรมของกลุ่มแม่บ้านอันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง”

ปฐมบท : การก่อเกิดที่มาของนโยบาย

เรื่องของกองทุนหมู่บ้านเป็นนโยบายของพรรคกิจสังคม ซึ่งตอนที่เป็นหัวหน้าพรรคได้ทำงานกับอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม ท่านได้เห็นชอบนโยบายเงินผันที่ผันเงินออกไปสร้างความเจริญ สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ชาวบ้านได้เงินและได้ประโยชน์จากงานที่ทำ ทำพวกโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดตรงนี้อันนี้เป็นส่วนหนึ่งแค่นั้นเอง ส่วนสำคัญที่มาของโครงการนี้จริงๆเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเงินผันกับการที่ได้ลงไปทำงานกับกลุ่มแม่บ้านที่อำเภอน้ำพองแล้วได้เห็นว่าเขาทำงานจริงจัง อยู่ด้วยความรักความสามัคคีกันเหนียวแน่นแต่ว่าปัญหาที่เขามีในขณะนั้นคือ คือปัญหาเรื่องการขาดแคลนเงินทุน เงินทุนเป็นเรื่องของกิจกรรมของกลุ่มแม่บ้านอันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง

“ปัญหาใหญ่ของชาวบ้าน ทำยังไงถึงให้ชาวบ้านพ้นจากความยากจนได้ สิ่งสำคัญคือ เขาจะต้องมีทุน ถ้าไม่มีทุนจะไปทำอะไรก็ยาก เพราะการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ต้องเริ่มจากทุน”

กระดุมเม็ดแรกของการแก้ปัญหาความยากจน คือ ทุน

จากการที่ได้ลงไปสัมผัสกับชาวบ้านตลอด ทำให้เราเห็นว่าความยากจนคือ ปัญหาใหญ่ของชาวบ้าน ทำยังไงถึงให้ชาวบ้านพ้นจากความยากจนได้ สิ่งสำคัญคือ เขาจะต้องมีทุน ถ้าไม่มีทุนจะไปทำอะไรก็ยากเพราะการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ต้องเริ่มจากทุน แล้วได้เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้านด้วยว่า เขาเดือดร้อนจริงๆ เคยได้ไปคุยกับกำนัน เห็นเขาถือปี๊ปถั่วลิสงเอามาขายให้กำนัน ถามกำนันว่าปี๊ปหนึ่งเท่าไรกำนันบอก 20 บาทถามว่าทำไมเอามาแค่ 1 ปี๊ปจะเอาเงิน 20 บาทไปทำอะไรเขาบอกว่าจะเอาไปเป็นค่ารถไปให้ลูกเป็นค่ารถไปขึ้นทะเบียนทหาร ชาวบ้านเงิน 20 บาทไม่มีต้องเก็บถั่วลิสงมาขายเพื่อจะเอาเงิน 20 บาทมาเป็นค่ารถให้ลูกไปขึ้นทะเบียนทหารที่อำเภอ เราเห็นสภาพปัญหาเขาต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบ กู้จากญาติพี่น้อง ดอกเบี้ยก็แพง จะทำอย่างไรให้เขามีทุนหมุนเวียนได้ในขณะนั้น เราก็เลยคิดว่าให้เขามีเงินกองทุนที่เขาจะช่วยเหลือดูแลกันแล้วก็เวลาเดือดร้อนจำเป็นให้เขามาหยิบยืมกันโดยที่เขาบริหารจัดการตนเอง ก็เลยเอาเงินส่วนตัวทำโครงการนี้ขึ้นมา

“ตั้งแต่ปี 2526-2527 ทำโครงการนี้ขึ้นมา เริ่มคิดอันนี้และก็เริ่มทำ ที่นี่ก็เลยให้กองทุนให้แม่บ้าน บ้านละ 2,000 บาท เรียกว่ากองทุนแม่บ้าน”

กองทุนแม่บ้าน คือ จุดเริ่มต้นโครงการ

ตั้งแต่ปี 2526-2527 ทำโครงการนี้ขึ้นมา เริ่มคิดอันนี้และก็เริ่มทำ ที่นี่ก็เลยให้กองทุนให้แม่บ้าน บ้านละ 2,000 บาท เรียกว่ากองทุนแม่บ้าน เรามีเงื่อนไขเดียวคือ เงินนี้เป็นของเราแต่เราให้เขาไปใช้ในการหยิบยืมหมุนเวียนเวลาจำเป็นเดือดร้อนเร่งด่วน ขาดเหลือ จำเป็นแล้วไม่มีเงินในครัวเรือนหรือว่ามีความจำเป็นอย่างอื่น จำเป็นต้องมาหยิบยืมกัน เหมือนกับกองทุนฉุกเฉิน เขาสามารถมาหยิบยืมได้เงื่อนไขเดียวที่ตั้งไว้ คือ เงิน 2,000 บาทจะต้องไม่หายไปไหน เมื่อไรเราเข้าไปเยี่ยมหมู่บ้านเราถามเขาจะต้องบอกเราได้ว่าเงิน 2,000 บาทอยู่กับใครบ้างเท่าไร อันนี้เป็นกระบวนการที่เราสอนให้เขารู้จักทำบัญชี ทำงานให้เป็นระบบ เพราะฉะนั้นอันนี้จะเป็นการสร้างความรับผิดชอบให้เขาด้วย ให้เขาเรียนรู้เกิดกระบวนการการรับผิดชอบร่วมกันของกรรมการกองทุนและของสมาชิกแม่บ้าน เขาเรียกว่า กกวสม ในขณะนั้นของกรมการพัฒนาชุมชน การพัฒนาสตรีระดับหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นพวกนี้จะเป็นคนบริหารจัดการเงิน แล้วก็ให้เขากำหนดเงื่อนไขเอาเอง ถ้าหยิบยืมไปแล้วจะคิดดอกเบี้ยเท่าไร ยืมได้นานเท่าไร เราไม่ไปกำหนดเงื่อนไข เพราะว่าจริงๆโดยธรรมชาติทั่วไปเรื่องของการบริหารเงินในครัวเรือน การใช้จ่ายเงินในครัวเรือนแม่บ้านจะมีบทบาทมากพ่อบ้าน และความละเอียดเขาจะมีมากกว่า ความรับผิดชอบจะมีมากกว่า การดูแลรักษาเงินจะดีกว่า ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น

“เงินตอนหลังก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ก็เลยบอกเขาว่าเอาอย่างนี้ เวลายืมเงินเราไม่มีหลักประกันอะไรเลย เกิดว่าคนยืมตายไปจะทำอย่างไรก็เลยบอกเขาว่าให้ทำกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์แม่บ้านขึ้นมา”

ประสบการณ์ความตั้งใจของชาวบ้าน คือ องค์ความรู้

พอทำไปได้ระยะหนึ่งแล้วเงินเขาเพิ่มขึ้นจาก 2,000 เป็น 3,000 เป็น 4,000 เป็น 5,000 จากดอกเบี้ย เขากู้ยืมไปทำอาชีพส่วนใหญ่กู้ยืมไปทำอาชีพ ขายของ หรือว่าไปทำการเกษตรไปเพาะปลูกเขาก็เอาไปใช้ที่จำเป็น เงินตอนหลังก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ก็เลยบอกเขาว่าเอาอย่างนี้ เวลายืมเงินเราไม่มีหลักประกันอะไรเลย เกิดว่าคนยืมตายไปจะทำอย่างไรก็เลยบอกเขาว่าให้ทำกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์แม่บ้านขึ้นมา เป็นกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์แม่บ้านแล้วก็เก็บเงิน เงินเริ่มต้น 30 กว่าบาทเสียชีวิตศพหนึ่งทุกคนจ่าย 10 บาทเป็นลักษณะค่อนข้าง Informal ไม่มีระเบียบ ไม่มีกติกา ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีกฎหมายอไรรองรับเลย เมื่อเขาตั้งกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์แล้วเขาก็เริ่มเห็นผล พอแม่บ้านเสียชีวิต 1 ศพสมาชิกเยอะ หมู่บ้านหนึ่งจ่ายคนละ 10 บาทได้เงินเป็นหมื่นเราเอาแค่คนที่เป็นสมาชิกคนที่ไม่เป็นไม่ได้ เพราะว่าเขาได้เงิน 20,000-30,000 ตอนหลังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะเขาเริ่มเห็น ดังนั้นเงินส่วนหนึ่งเขาก็เอามาชำระหนี้กองทุนที่เหลือเอาไปจัดงานศพ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายในหมู่บ้านในครัวเรือนของเขา

“แทนที่เขาจะไปกู้เงินนอกระบบเขามากู้ตรงนี้ดอกเบี้ยไม่ต้องเสียมาก เขาก็ผ่อนได้ แล้วก็เกิดสวัสดิการขึ้นมา คือจากกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ก็มาเกิดสวัสดิการและเกิดหลักประกันได้ทั้ง 2 อย่างเป็นทั้งหลักประกันและก็สวัสดิการด้วย”

กำเนิดหลักประกันและสวัสดิการภายในชุมชน

เพราะฉะนั้นเกิดกระบวนการเงินก็พอกพูนขึ้นมาเรื่อย ตอนหลังก็ไปจดทะเบียนเป็นกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ตอนหลังกฎหมายบังคับให้ต้องมีการขึ้นทะเบียน ก็เหมือนกับว่าเราก็จะมีเงินไปสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ลดรายจ่าย แทนที่เขาจะไปกู้เงินนอกระบบเขามากู้ตรงนี้ดอกเบี้ยไม่ต้องเสียมาก เขาก็ผ่อนได้ แล้วก็เกิดสวัสดิการขึ้นมา คือจากกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ก็มาเกิดสวัสดิการและเกิดหลักประกันได้ทั้ง 2 อย่างเป็นทั้งหลักประกันและก็สวัสดิการด้วย จะเห็นว่ากองทุนหมู่บ้านทุกวันนี้ก็มีกองทุนฌาปนกิจ เพราะว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เราได้เรียนรู้มาจากกองทุนแม่บ้านที่เราทำไว้ ที่นี้พอมีเงินหลายล้านจากเงินไม่กี่แสนบาท เพราะว่ามีประมาณ 100 กว่าหมู่บ้าน ก็บริหารต่อเนื่องมาเรื่อยๆเป็นแนวคิดของการที่คล้ายกับเงินผันเป็นการผันเงินแต่อันนี้จะเป็นเงินหมุนเวียนมากกว่าเงินให้ไปใช้จ่ายในเรื่องของการลงทุน เพราะฉะนั้นก็เอง 2 อันนี้มาเชื่อมกันแล้วก็เลยกลายเป็นนโยบายของพรรคกิจสังคม แต่เนื่องจากพรรคกิจสังคมเป็นพรรคเล็ก เราจะทำกองทุนหมู่บ้านนี่เราทำไม่ได้ แต่จริงๆแล้วตอนนั้นเราก็ผลักดันโครงการนี้มาเรื่อย ตอนช่วงที่รัฐธรรมนูญที่ประชาชนเสนอกฎหมายได้เราก็รวบรวมชาวบ้านมาลงชื่อเสนอกฎหมายจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน แต่ว่าก็ไม่ได้ไปไหนมาไหน เพราะว่าเราเป็นพรรคเล็กถึงแม้เราร่วมรัฐบาลมาตลอด เราพยายามนำเสนอเขาก็มองไม่เห็น คือเมื่อก่อนเขามองไม่เห็น จนกระทั่งมาตอนรัฐบาลนายกชวน ตอนมิยาซาวาแพลน ปี 40 ตอนที่เขาทำ Social safety net เอาเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ก็เคยบอกในการประชุม ครม. ว่าเงินมิยาซาวามีน้อยมีจำกัดก็จริงแต่ว่าถ้าจะให้มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วแล้วเงินไม่หายไปไหน เงินจะหมุนอยู่ในระบบตลอดแล้วไม่หายไปไหนแล้วจะกลายเป็นสวัสดิการสวัสดิภาพให้แก่ประชาชนด้วยจะเป็น Social safety net ที่แท้จริง ก็เอามาทำกองทุนหมู่บ้านเอาไหน ตอนนั้นบอกเขาว่าเอามาให้หมู่บ้านละ 50,0000 บาทประมาณ 40,000 ล้าน อาจะเป็นเพราะว่าถ้ามาทำโครงการแบบนี้ คนที่ทำไม่มีผลประโยชน์เลยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเพราะเงินทั้งหมดลงไปที่หมู่บ้านหมด เพราะว่าระบบที่เรา Design ไว้เป็นระบบที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เพราะว่ากระตุ้นเศรษฐกิจเรามีเงินน้อยสิ่งที่เราต้องทำคือ เพิ่ม Speed ของเงินที่จะใส่ลงไปในระบบเพื่อให้เกิด multiplier Affect ให้หมุนให้หลายรอบมากขึ้น ให้หมุนกลับมาได้เร็วขึ้น เราก็ Design ระบบไว้ว่าให้เงินลงไปให้มันเร็วเพื่อให้หมุนกลับมากรอบมากขึ้นเร็วขึ้น เพราะเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจจากเงินจำนวนน้อยเราสามารถเพิ่มปริมาณเงินในระบบได้มากขึ้นตอนนั้นเขาไม่เอา

“ทำให้เกิดการหมุนเวียนได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเขามองเห็นว่าจะเกิดผลจริงๆจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนั้นด้วย”

เงินกองทุนชาวบ้าน กระตุ้นเศรษฐกิจแก้วิกฤติ

ช่วงนั้นพรรคไทยรักไทยเขาเพิ่งมีการเริ่มก่อตั้งพรรคเขาก็พยายามคุยกับทางพรรคการเมืองต่างๆที่จะเข้ามาร่วมงานด้วย เรามีนโยบาย 2 นโยบายที่อยากทำคือ กองทุนหมู่บ้านกับชลประทานระบบท่อนั้นคือนโยบายหลักของพรรคกิจสังคม ที่นี้กองทุนหมู่บ้านตอนนั้นคิดว่าหมู่บ้านละ 500,000 บาทงบประมาณ 40,000 ล้านเขาก็เลยบอกว่าเงิน 40,000 ล้านนี้สบาย ถ้าอย่างนั้นก็เอาสักหมู่บ้านละ 1,000,000 บาท ถ้า 1,000,000 บาทก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเขามองเห็นว่าจะเกิดผลจริงๆจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนั้นด้วย เพราะเงินมิยาซาวาใช้แล้วก็หมดไปแล้วก็มีการทุจริต ซึ่งมีปัญหาอยู่แล้วไม่ได้ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐาน คนได้ประโยชน์ก็มีหยิบมือเดียว