เครือข่ายตั้งคำถาม..ถึงขั้นต้องจ้างตำรวจเข้ามาตรวจสอบชาวบ้านกันเลยหรือ?

แชร์กองทุนให้โลกรับรู้

การประชุมบอร์ดชาติ ครั้งที่ 7/2568 วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ไม่มีการอนุมัติเล่มโครงการ SML ที่ผ่านการตรวจแล้ว 17,899 กองทุน จากที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 จำนวน 30,684 กองทุน บอร์ดชาติเพียงรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการจาก อนุ SML

โดยประเด็นที่มีการซักถามกันในบอร์ดมากสุด ก็คือ วาระรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานช่วยเหลือการดำเนินโครงการฯ ซึ่งมี พลตำรวจเอก อัคราเดช พิมลศรี เป็นประธานคณะทำงาน

การทำงานของตำรวจจะเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของการจัดประชุมประชาคมให้กองทุนหมู่บ้านฯ แจ้งกำหนดวันประชุมประชาคมในระบบ Google Form ของ สทบ. ล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน จากนั้น สทบ. จะส่งข้อมูลให้ DGA นำเข้าสู่ Application ทางรัฐ ชุดปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามข้อมูลแบบ Realtime เพื่อลงพื้นที่และรายงานข้อมูลการประชุมผ่าน Application ทางรัฐ ข้อมูลจากรายงานของตำรวจจะใช้ประกอบการตรวจสอบความถูกต้องของคำขอโครงการฯ ของ สทบ.

ระยะเวลาดำเนินการ: กรกฎาคม – กันยายน 2568

งบประมาณ: 34,022,000 บาท

แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวทางจากฝ่ายบริหารนโยบายทำเนียบฯโดยตรง ไม่มีการถามความเห็นจากฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนงานกองทุน โดยเฉพาะเครือข่ายภาคและจังหวัด ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเครือข่ายและกรรมการกองทุนค่อนข้างมาก

เรื่องนี้ ข่าวกองทุนหมู่บ้านได้ทำการวิเคราะห์ไว้ดังนี้

การวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียการใช้เงินงบประมาณ 34 ล้านบาทในการให้ตำรวจเข้าร่วมโครงการ SML

รายละเอียดการใช้งบประมาณโครงการ “การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชนและตรวจสอบการจัดประชุมประชาคมของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในพื้นที่”

ข้อดี

  1. เสริมสร้างความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย: การให้ตำรวจเข้าร่วมโครงการโดยตรง ย่อมส่งผลให้เกิดความมั่นใจในด้านความปลอดภัยของประชาชนมากขึ้น และช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จัดประชุมประชาคม
  2. เป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการการทำงาน: การมีตำรวจเข้ามามีส่วนร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับประชาชนในระดับพื้นที่

ข้อเสีย (โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ)

  1. งบประมาณที่สูงมาก: งบประมาณรวมของโครงการอยู่ที่ 34 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก หากไม่ได้มีการชี้แจงรายละเอียดการใช้จ่ายที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลพอ อาจทำให้เกิดคำถามและความสงสัยว่ามีการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและโปร่งใสหรือไม่
  2. บทบาทของตำรวจในการประชุมประชาคม: การให้ตำรวจเข้ามา “ตรวจสอบการจัดประชุมประชาคมของกองทุนหมู่บ้าน” อาจถูกตีความได้ว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกไม่เป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจเรื่องภายในของตนเอง ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่พอใจได้
  3. การสร้างความหวาดระแวง: การมีตำรวจในชุดปฏิบัติการและชุดคุ้มกันเข้ามาในพื้นที่ อาจทำให้ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกอึดอัด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และอาจสร้างความหวาดระแวงมากกว่าความรู้สึกปลอดภัย
  4. ความรู้สึกไม่ไว้วางใจ: หากชาวบ้านมีความรู้สึกว่าการประชุมประชาคมเป็นพื้นที่ของพวกเขาเอง การที่ตำรวจเข้ามาในบทบาทผู้ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด อาจทำให้รู้สึกเหมือนถูกจับตามองหรือถูกสงสัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับประชาชน
  5. ความไม่สมเหตุสมผลของค่าใช้จ่ายบางส่วน: หากพิจารณาในภาพรวมของงบประมาณที่สูงถึง 34 ล้านบาท มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายบางส่วนที่อาจดูสูงเกินไป เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าตอบแทนที่สูงเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นประเด็นที่ชาวบ้านสามารถนำมาตั้งคำถามได้
  6. ความรู้สึกว่าเป็นการ “ใช้งบประมาณเพื่อจัดซื้อความปลอดภัย”: แทนที่จะเป็นไปตามแนวคิดการสร้างความปลอดภัยที่เกิดจากความร่วมมือของชุมชนและตำรวจอย่างเป็นธรรมชาติ การจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเช่นนี้ อาจทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่ารัฐบาลกำลังใช้เงินเพื่อ “จ้าง” ตำรวจมาคุ้มกัน ซึ่งอาจไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนในการสร้างความปลอดภัยในชุมชน

สรุป

แม้ว่าการมีตำรวจเข้ามาในโครงการจะมีข้อดีในแง่ของการเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการตรวจสอบ แต่ในแง่ของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในบริบทของการประชุมประชาคมของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านเป็นเจ้าของและมีอิสระในการแสดงความคิดเห็น การที่เอกสารแสดงให้เห็นถึงการใช้งบประมาณจำนวนมากในการจ้างตำรวจเข้ามาในบทบาทผู้ตรวจสอบและชุดคุ้มกัน อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจและรู้สึกถึงการถูกแทรกแซง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการดำเนินโครงการลักษณะนี้